การ ทดลองความหนาแน่นของดินในสนาม หรือ Field Density Test เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการก่อสร้าง โดยเฉพาะในโครงการที่เกี่ยวโยงกับการถมดิน การผลิตโครงสร้างรองรับ หรือวิธีการทำถนนหนทาง การทดสอบนี้ช่วยทำให้มั่นอกมั่นใจได้ว่าดินที่ถูกอัดแน่นในสนามมีความหนาแน่นพอเพียงที่จะรองรับน้ำหนักขององค์ประกอบได้อย่างแน่วแน่และไม่มีอันตราย
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกรรมวิธี ทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม ที่ใช้ในงานวิศวกรรมก่อสร้าง มีวิธีใดบ้างแล้วก็แต่ละแนวทางมีจุดเด่นข้อด้อยเช่นไร
(https://images.squarespace-cdn.com/content/v1/6303aed3d97049237ddb0057/9fa4f038-9622-4f96-8937-b933b80ed527/Picture+1.jpg)
🎯🌏✨จุดสำคัญของการทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม👉👉🛒ก่อนจะไปสู่เนื้อหาของกระบวนการทดลอง พวกเราควรจะทำความเข้าใจถึงความสำคัญของการทดลองความหนาแน่นของดินในสนาม การทดสอบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินคุณภาพของการถมดินรวมทั้งการอัดดิน ซึ่งแม้ดินผิดอัดแน่นอย่างพอเพียง บางทีอาจส่งผลให้เกิดการทรุดตัวขององค์ประกอบ หรือปัญหาที่เกิดจากทางวิศวกรรมอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การทดสอบความหนาแน่นของดินในสนามช่วยให้วิศวกรมั่นอกมั่นใจได้ว่าดินมีความหนาแน่นพอเพียงที่จะรองรับน้ำหนักขององค์ประกอบที่กำลังก่อสร้าง แล้วก็ช่วยลดการเสี่ยงสำหรับในการเกิดปัญหาที่เกิดจากทางวิศวกรรมในระยะยาว
🦖📌🥇วิธีการทดลองความหนาแน่นของดินในสนาม👉👉📌การทดลองความหนาแน่นของดินในสนามมีหลายวิธีที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งแต่ละวิธีก็มีลักษณะการใช้งานที่ต่างๆนาๆ ดังต่อไปนี้:
1. Sand Cone Method (แนวทางกรวยทราย)
Sand Cone Method เป็นหนึ่งในแนวทางการทดลองความหนาแน่นของดินในสนามยอดนิยมเยอะที่สุด วิธีการแบบนี้ใช้ทรายที่ผ่านการร่อนแล้วมาเทลงในหลุมที่ขุดในสนามทดสอบ ต่อจากนั้นจะวัดความจุของทรายที่ใช้เพื่อหาความหนาแน่นของดินที่ถูกอัด
แนวทางการทดลองเริ่มจากการขุดหลุมที่สนามทดลองแล้วนำทรายจากกรวยทรายเทลงไปในหลุมกระทั่งเต็ม แล้วต่อจากนั้นนำทรายที่เหลือกลับมาชั่งน้ำหนักเพื่อคำนวณใส่ความหนาแน่นของดินในหลุมทดสอบ วิธีการแบบนี้มีความเที่ยงตรงสูงแม้กระนั้นใช้เวลารวมทั้งขั้นตอนที่สลับซับซ้อนบางส่วน
จุดเด่น: ความเที่ยงตรงสูง รวมทั้งสามารถใช้ทดสอบได้ในหลายเหตุการณ์
จุดด้วย: ใช้เวลานาน และปรารถนาความระวังสำหรับในการปฏิบัติงาน
เสนอบริการ Boring Test | บริษัท เอ็กซ์เพิร์ท ซอยล์ เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
บริษัท Boring Test บริการ Soil Test วิเคราะห์และทดสอบดิน ทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม (Seismic Integrity Test)
👉 Tel: 064 702 4996
👉 Line ID: @exesoil
👉 Facebook: https://www.facebook.com/exesoiltest/ (https://www.facebook.com/exesoiltest/)2. Nuclear Density Gauge (เครื่องตวงความหนาแน่นปรมาณู)
Nuclear Density Gauge เป็นวัสดุที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์สำหรับในการวัดความหนาแน่นของดินในสนาม โดยการยิงรังสีแกมมาลงในดินและก็วัดการดูดกลืนรังสีของดิน วัสดุนี้สามารถได้ผลการทดสอบที่รวดเร็วและแม่น
การใช้แรงงาน Nuclear Density Gauge เริ่มจากการวางเครื่องมือบนพื้นที่ที่อยากได้ทดสอบ หลังจากนั้นวัสดุจะยิงรังสีแกมมาเข้าไปในดินรวมทั้งวัดการดูดกลืนรังสีเพื่อนำข้อมูลไปคำนวณหาความหนาแน่นของดิน
ข้อดี: ให้ผลการทดสอบเร็วทันใจ และก็สามารถทดสอบได้บ่อยในเวลาสั้นๆ
จุดด้วย: อยากการฝึกอบรมพิเศษสำหรับการใช้งาน ด้วยเหตุว่าเกี่ยวข้องกับพลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ แล้วก็มีค่าใช้จ่ายสูง
3. Rubber Balloon Method (แนวทางลูกโป่งยาง)
Rubber Balloon Method เป็นขั้นตอนการทดลองความหนาแน่นของดินในสนามที่ใช้หลักการคล้ายกับ Sand Cone Method แต่ว่าแทนที่จะใช้ทราย จะใช้ลูกโป่งยางที่เต็มไปด้วยน้ำเพื่อวัดปริมาตรของหลุมที่ขุดในสนามทดลอง
แนวทางการทดสอบเริ่มจากการขุดหลุมที่สนามทดลอง แล้ววางลูกโป่งยางลงในหลุม แล้วหลังจากนั้นจะเติมน้ำลงไปในลูกโป่งจนกระทั่งเต็มหลุม แล้ววัดความจุของน้ำที่ใช้เพื่อนำไปคำนวณกล่าวโทษหนาแน่นของดิน
ข้อดี: เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ทดสอบมีขนาดเล็ก และนำเอาสะดวก
จุดอ่อน: ความเที่ยงตรงบางทีอาจไม่สูงเท่ากับ Sand Cone Method และต้องระมัดระวังสำหรับการเพิ่มน้ำลงในลูกโป่ง
4. Drive Cylinder Method (แนวทางทรงกระบอกดัน)
Drive Cylinder Method เป็นกรรมวิธีทดสอบความหนาแน่นของดินในสนามโดยการใช้ทรงกระบอกโลหะที่มีขนาดมาตรฐานกดลงไปในดินเพื่อเก็บตัวอย่างดิน จากนั้นจะนำดินในทรงกระบอกไปชั่งน้ำหนักรวมทั้งวัดความจุเพื่อคำนวณหาความหนาแน่นของดิน
วิธีแบบนี้เหมาะกับดินที่ไม่แข็งมากและก็อยากได้ความแม่นยำสำหรับการทดลอง แต่ใช้เวลามากยิ่งกว่าและอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีความยุ่งยากในพื้นที่ที่ดินมีความแข็งมากมาย
จุดเด่น: ได้ผลการทดลองที่แม่นยำ แล้วก็เหมาะสำหรับดินที่มีความแข็งปานกลาง
ข้อบกพร่อง: ใช้เวลาในการทดลองนาน และไม่เหมาะสมกับดินที่มีความแข็งมาก
5. Water Replacement Method (แนวทางแทนที่ด้วยน้ำ)
Water Replacement Method เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ใช้สำหรับเพื่อการทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม โดยใช้วิธีการแทนที่ปริมาตรดินที่ขุดออกด้วยน้ำ แนวทางนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีลักษณะดินที่แฉะหรือในเรื่องที่ไม่อาจจะใช้ขั้นตอนการทดลองอื่นได้
กระบวนการทดลองเริ่มจากการขุดหลุมแล้วเพิ่มน้ำลงไปในหลุมเพื่อวัดขนาด ต่อจากนั้นนำขนาดน้ำไปคำนวณหาความหนาแน่นของดิน
ข้อดี: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีดินเปียกหรือเปล่าสามารถใช้แนวทางอื่นได้
จุดอ่อน: ความแม่นยำบางทีอาจต่ำลงมากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น และก็ใช้เวลานาน
✅⚡⚡การเลือกกรรมวิธีการทดลองที่สมควร📢📌🦖การเลือกกระบวนการ ทดลองความหนาแน่นของดินในสนาม ขึ้นอยู่กับรูปแบบของดิน สิ่งที่จำเป็นด้านความแม่นยำ และข้อจำกัดของสถานที่ทำการก่อสร้าง ในบางกรณี อาจจำเป็นที่จะต้องใช้หลายแนวทางด้วยกันเพื่อให้สำเร็จลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุด ไม่ว่าคุณจะเลือกกรรมวิธีการทดสอบใด สิ่งสำคัญเป็นการรับประกันว่าดินที่ถูกอัดในสนามมีความหนาแน่นเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักของส่วนประกอบได้อย่างถาวรแล้วก็ไม่เป็นอันตราย
✅⚡🎯สรุป🥇🥇👉การ ทดลองความหนาแน่นของดินในสนาม เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการก่อสร้างเพื่อมั่นใจว่าส่วนประกอบที่สร้างขึ้นจะมีความยั่งยืนและมั่นคงแล้วก็ปลอดภัย กรรมวิธีการทดสอบที่ใช้ในงานก่อสร้างมีหลายแนวทาง ซึ่งแต่ละแนวทางมีข้อดีขอเสียไม่เหมือนกันไป การเลือกกรรมวิธีทดสอบที่สมควรขึ้นอยู่กับลักษณะของดิน สิ่งที่ต้องการของโครงงาน แล้วก็ข้อจำกัดของสถานที่ก่อสร้าง
การทดลองความหนาแน่นของดินในสนามไม่เฉพาะแต่ช่วยคุ้มครองปัญหาที่เกิดจากทางวิศวกรรมที่บางทีอาจเกิดขึ้นในอนาคต แม้กระนั้นยังเป็นการรับประกันประสิทธิภาพของงานก่อสร้าง และเพิ่มความมั่นใจและความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของส่วนประกอบในระยะยาว
Tags :
ทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม ราคา (https://www.google.co.th/url?q=https://www.exesoiltest.com/field-density-test/)