• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - damonshoppu

#221


ก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันยุงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สเปรย์กันยุง หรือยาจุด หรือจริง ๆ รวมถึงแมลงต่าง ๆ แล้วนั้น ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้การนำมาใช้งานจัดการยุง แมลงต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ว่าแต่จะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างนั้น เชื่อว่าหลายคนอยากรู้แล้ว และไม่รอช้าที่จะพาไปศึกษาอย่างหมดเปลือก

คุณสมบัติของสเปรย์กันยุง ยาจุด ที่ควรรู้เพื่อการนำมาใช้

1. มีสารสกัดธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ

อย่างแรกเพื่อความปลอดภัยไม่มากก็น้อยในเรื่องของส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ควรเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ อย่างตะไคร้หอม หรืออื่น ๆ มีความสามารถในการจัดการแมลงสาบ ยุง มดได้อย่างดี มีความปลอดภัยขั้นสุด ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานเอง

2. มีกลิ่นที่ไม่ฉุนมาก

เป็นอีกคุณสมบัติที่ควรมีอย่างที่สุดเลยก็คือเรื่องของกลิ่นที่เมื่อเราฉีด หรือใช้ยาจุดกันยุงไปแล้วต้องไม่ทำให้เกิดกลิ่นฉุนมากเกินไป ควรเป็นกลิ่นหอมเรื่อย ๆ ที่ไม่แสบจมูกมาก เช่น กลิ่นเลม่อน กลิ่นลาเวนเดอร์ ฯลฯ ไม่เป็นอันตรายต่อโพรงจมูกไปได้

3. หากเป็นหัวสเปรย์ควรกดฉีดง่าย

หากเป็นการเลือกใช้เป็นในส่วนของสเปรย์กำจัดยุง หรือสเปรย์กำจัดแมลงร่วมด้วยก็ตาม การใช้งานในส่วนของหัวฉีดควรกดง่าย ไม่พุ่งกระจายมากเกินไป ฉีดได้เร็ว แรง ในระยะที่ออกไกลได้ สามารถจัดการยุง หรือแมลงต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการกำจัดที่รวดเร็ว

4. หากเป็นยาจุดควรจุดติดง่าย แยกขดง่าย

และถ้าหากเป็นในส่วนของยาจุดด้วยแล้วนั้นก็ควรจะเป็นการจุดที่ติดได้ง่าย ไม่ต้องเอาไฟไปลนนานมาก สามารถปกป้องได้ยาวนานต่อเนื่อง หรือบางยี่ห้อก็เป็นรุ่นควันน้อยก็มี ก็จะไม่ฟุ้งมาก หายใจสะดวกขึ้น ที่สำคัญการแยกขดควรทำได้ง่าย ไม่ติดกันเกินไปและไม่แตกหักได้ง่าย ๆ ด้วย ใช้งานได้สะดวกขั้นสุด

5. มีพลังปกป้องยาวนานดี

สุดท้ายก็คือเรื่องของพลังการปกป้องที่ควรเป็นไปได้อย่างยาวนาน อย่างน้อย ๆ ก็ 24 ชม. หรือบางยี่ห้อยาวนานถึง 48 ชม. ก็มี ไม่จำเป็นต้องฉีดพ่น หรือจุดยากันยุงทิ้งไว้ทุกวันทั้งวันเลยด้วย ไม่ทำให้เราเสียเวลาใช้งาน รวมถึงลดความเสี่ยงไฟลุกไหม้ไปอีก

กระนั้นในส่วนของการใช้งานสเปรย์กันยุง แมลง หรือจะเป็นแบบยาจุดขดกันยุงก็ตาม ควรศึกษาข้อควรระวังต่าง ๆ ให้ดีด้วย เพื่อลดความเสี่ยงใช้งานผิดประเภท หรือมีพฤติกรรมความเสี่ยงอื่น ทำให้ต้องเกิดปัญหาตามมาได้ แต่ละยี่ห้อ แต่ละประเภทก็จะมีทั้งขนาด และราคาที่ต่างกัน แนะนำว่าให้อ่านข้อมูลอย่างละเอียดก่อนซื้ออีกครั้งด้วย
#222


เชื่อว่ามีหลายคนที่จำเป็นต้องใช้งานถุงมือยาง หรือแบบพลาสติกก็ตาม และด้วยความที่ถุงมือนั้นมีให้เราเลือกได้หลากหลายชนิดมาก ทั้งยังมีที่เป็นแบบมีแป้ง – ไม่มีแป้งด้วย ซึ่งวันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจมาอธิบายสร้างความเข้าใจมากขึ้น เพื่อการซื้อใช้งานที่ตอบโจทย์ต่อตนเองและการงานมากที่สุด ซึ่งจะเป็นอย่างไร จะแตกต่างกันมากขนาดไหน ไปดูกันเลยดีกว่า

ความแตกต่างของถุงมือยาง VS พลาสติกที่ควรรู้

1. ถุงมือจากยางสังเคราะห์ไนไตรล์

อย่างแรกก็คือเป็นประเภทของถุงมือแบบยางที่สังเคราะห์ด้วยไนไตรล์โดยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทนทานต่อสารเคมี ทำให้ได้รับความนิยมในการใช้งานอย่างมาก มีหลากหลายสีสันให้เลือกด้วย แต่ก็จะมีความยืดหยุ่นที่ไม่มากเท่าถุงมือแบบยางธรรมชาติ

2. ถุงมือ PVC

ถุงมือ PVC เป็นการใช้ยางสังเคราะห์ Polyvinyl chloride ที่ช่วยป้องกันอันตรายจากการสัมผัสสารเคมีได้โดยตรง ลักษณะจะมีความเป็นเหมือนกระจกฝ้า ใสแต่ก็กึ่งขุ่นด้วย และด้วยความที่สารไขมันจะทำให้พลาสติกยืด หรือนิ่มละลายออกมาได้ก็เลยไม่เหมาะกับการใช้สัมผัสอาหารประเภทไขมัน

3. ถุงมือจากยางธรรมชาติ

หากสังเกตตามลักษณะทางกายภาพก็จะสังเกตได้ว่ามีสีขาวครีม ยืดหยุ่นได้ดี เมื่อใส่มือแล้วจะมีความกระชับมาก ตามร้านขายยาก็มีให้เราเลือกซื้อได้เลย ส่วนใหญ่มักนำมาใช้ในทางการแพทย์ ทั้งนี้ก็จะมีให้เลือกทั้งที่เป็นแบบมีแป้ง และไม่มีแป้ง

- แบบมีแป้ง : จะช่วยปกป้องมือจากสารเคมีได้ ส่วนใหญ่เป็นแป้งข้าวโพด หากมือมีเหงื่อมากก็ยังทำงานได้คล่องแคล่วอยู่ เพราะแป้งจะดูดซับความชื้นในขณะที่เราสวมใส่ได้ดี ช่วยให้หล่อลื่นดี
- แบบไม่มีแป้ง : ความหนาของถุงมือจะบางกว่าแบบมีแป้ง รู้สึกเหมือนเราไม่ได้ใส่ถุงมือ มีความกระชับแนบชิดดี มีความเหนียว ทนทาน ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย

4. ถุงมือแบบพลาสติก PE

หรือที่เราคุ้นเคยกันดีกับถุงมือพลาสติกที่ใช้เวลาย้อมผม ที่จะเป็นการทำจากพลาสติกเนื้อดีเลย จับแล้วไม่เปื้อนติดมาก ส่วนมากใช้ในการจับอาหารมัน หรือที่มีรสเปรี้ยวได้ เช่น ร้านข้าวขาหมู ร้านข้าวมันไก่ ร้านก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับประเภทถุงมือยาง ถุงมือแบบพลาสติกที่มีให้เราได้เลือกใช้งาน แต่ละประเภทน่าสนใจอย่างมากเลยทีเดียว แต่การซื้อมาใช้ก็ควรให้เหมาะสมที่สุดด้วย เพื่อการที่งานที่ตอบโจทย์มากที่สุด หวังว่าต่อจากนี้การซื้อถุงมือใช้งานของทุกคนจะผ่านไปได้ราบรื่น
#223


ปัจจุบันเมื่อพูดถึงลำโพงแล้วที่กำลังเป็นที่นิยมสูงมากก็คงไม่หนีพ้นแบบพกพา ซึ่งเชื่อว่ามีหลาย ๆ คนกำลังมอง ๆ อยู่ แต่กระนั้นการที่จะเลือกให้คุ้มค่าที่สุดบางคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ไม่รอช้าที่จะพาไปศึกษาทำความรู้จัก เพื่อการเลือกซื้อที่ตอบโจทย์ต่อตนเองและการใช้งาน

5 เทคนิคการเลือกซื้อลำโพงแบบพกพาให้คุ้มค่า

1. คุณภาพเสียง

เป็นการเลือกที่เราควรต้องดูก่อนเลยโดยที่เรื่องคุณภาพเสียงต้องมั่นใจเลยว่ามีเสียงออกมาได้อย่างดี ดูว่าลำโพงรุ่นนั้น ๆ มีเสียงเป็นอย่างไร บางรุ่นก็มีเสียงกลาง บางรุ่นเสียงแหลม เสียงเบามีลักษณะเป็นอย่างไร เสียงดังโดยรวมเป็นอย่างไร อาจจะต้องลองฟังจากเครื่องโชว์ก่อนก็ได้

2. การออกแบบ รูปลักษณ์

โดยที่ปัจจุบันมีการผลิตมาเพื่อแข่งขันกันเลยเชียวเพราะยิ่งมีการออกแบบ รูปลักษณ์ที่โดดเด่น สีสันดูโฉบเฉี่ยว เพื่อสร้างความน่าสนใจให้เราได้นำไปใช้แล้วมีหลายคนสนใจอยากเข้าหา แล้วยิ่งมีเสียงดีก็ทำให้คุณได้เครื่องมีคุณภาพมากขึ้น

3. น้ำหนักเบา พกพาง่าย

ลำโพงบลูทูธที่น่าสนใจควรค่าต่อการซื้อก็ควรต้องน้ำหนักเบามากยิ่งดี โดยที่ในเมื่อเราอยากพกพาไปไหนมาไหนก็ต้องคล่องตัวมาก ๆ ซึ่งรูปทรงก็ควรจะต้องเล็กด้วย ยิ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งก็จะสัมพันธ์กับข้อออกแบบ รูปลักษณ์ด้วย

4. ฟังก์ชันการใช้งาน อุปกรณ์รองรับ

เป็นอีกสิ่งที่ควรค่าต่อการศึกษามาก ๆ เพราะจะช่วยให้เข้าถึงการใช้งานที่ดีมากขึ้นได้ ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่องเสียบ AUX, Flash Drive, SD Card มีปุ่มเพิ่มลดเสียงให้ มีไมโครโฟนเพื่อคุยมือถือ มีการเปิด/ปิดด้วยรีโมท ฯลฯ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่แต่ละรุ่นก็จะมีแตกต่างกันออกไป ควรพิจารณาเลือกให้ดีด้วย

5. งบประมาณ ราคาสินค้า

ถือเป็นอีกสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เลยจริง ๆ กับเรื่องของงบประมาณ ราคาสินค้าลำโพงบลูทูธพกพาที่เราต้องการ เริ่มต้นคือพิจารณาก่อนเลยว่ามีงบที่ตัวเองเท่าไหร่ แล้วจะเลือกซื้อสินค้าได้ในราคากี่บาท แล้วมีฟังก์ชัน มีความคุ้มค่าอะไรให้บ้าง อย่าเลือกสินค้าที่ราคาถูกเกินไปเพราะบางทีอาจใช้งานได้ไม่ยาวนานด้วยคุณภาพของสินค้าที่ต่ำเกินไป

นอกจากนี้ การที่เราจะเลือกซื้อลำโพงแบบพกพาได้สักเครื่องก็ควรเลือกร้านที่มีการรับประกันด้วย เพราะถือเป็นอีกสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจในการใช้บริการ น่าเชื่อถือ ด้วยความที่หากเกิดปัญหาขัดข้อง เครื่องชำรุดก็ยังมีประกันช่วยดูแล หรือบางทีถ้ายังอยู่ในสัญญาก็ได้เครื่องใหม่ทันทีด้วย สร้างความอุ่นใจได้ไม่น้อย
#224


วันนี้เรามีน้ำยาทำความสะอาดที่ควรเลือกซื้อมาใช้งานที่สุดแนะนำทุก ๆ  คนกัน สร้างความเข้าใจ เพื่อการนำไปใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสมที่สุด โดยรวบรวมมาให้ถึง 5 ยี่ห้อด้วยกัน แต่จะเป็นการทำความสะอาดแบบไหน มีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลย

5 น้ำยาทำความสะอาดที่ควรซื้อมาใช้งานมากที่สุด

1. น้ำยาดันฝุ่นพื้น DAIWA

ผลิตภัณฑ์แรกเป็นน้ำยาดันฝุ่นที่ช่วยให้ฝุ่นละอองออกไปอย่างหมดจด ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้อง ปาร์เกต์ หินขัด หินอ่อน หรือหินแกรนิตได้เลย พร้อมมอบความสะอาดให้เต็มที่ กลิ่นหอม เพิ่มความเงางามได้ดีเยี่ยม พื้นผิวที่ทำความสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานเอง และพื้นผิว ขนาด 3,500 มล. ราคา 426 บาท

2. น้ำยารีฟิลถูพื้น โทมิ สปริงซากุระ

ต่อมาเป็นน้ำยาถูพื้นแบบรีฟิลหรือถุงเอาไปเติมเองได้ ของยี่ห้อโทมิ สปริงซากุระ ที่มีส่วนช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ 99.9% ที่ Hygienic Plus พร้อมจัดการทำความสะอาดพื้นได้อย่างดี แห้งไวมาก 25 วินาทีเท่านั้น ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะกวนใจ โดยที่สามารถใช้งานทั้งพื้นหินอ่อน พื้นหินแกรนิต พื้นผิวทั่วไป พื้นไม้ ขนาด 750 มล. ราคาถุงละ 30 บาท

3. แวกซ์เคลือบพื้น SHINY WAX

เป็นอีกยี่ห้อที่ไม่ควรพลาดไปกับแวกซ์เคลือบพื้น SHINY WAX ที่เป็นสูตรน้ำแห้งไว ให้ความเงางามอย่างดีและไม่ทิ้งความเนหนียวเหนอะหนะด้วย ช่วยปกป้องพื้นผิวในบ้านอย่างดี ยืดอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ใช้ได้ทั้งพื้นหินอ่อน กระเบื้องยาง หินขัด พื้นไม้ กระเบื้องเคลือบ ปาร์เกต์ ฯลฯ ขนาด 1 ลิตร ราคา 350 บาท

4. น้ำยาขจัดคราบฝังแน่นห้องน้ำ FARCENT

น้ำยาล้างห้องน้ำที่ช่วยจัดการคราบฝังแน่นภายในพื้นห้องน้ำได้ดี คราบเหลืองสกปรกที่ยาแนวกระเบื้อง หรือคราบเหลืองในโถส้วม เอาแปรงมาขัดถูกก็หาย กลิ่นไม่ฉุน เพิ่มความสะอาดมากขึ้น และใช้งานง่ายขึ้นไม่ต้องทิ้งไว้ข้ามคืน ขนาด 900 มล. ราคา 31 บาท (เฉพาะทางออนไลน์)

5. น้ำยาเก็บฝุ่นและเคลือบเงา SWASH พิงค์ลิลลี่บูเก้

ปิดท้ายกันที่อีกน้ำยาช่วยทำความสะอาดที่มาในรูปแบบถังแกลลอน ช่วยเก็บฝุ่นละอองตามพื้นได้ดี ให้ความหอมสดชื่น เพิ่มความสะอาด เคลือบผิวสะท้อนเป็นประกายเงางาม แห้งไว เหมาะกับพื้นลามิเนต หรือพื้นปาร์เกต์ ขนาด 4,000 มล. ราคา 599 บาท

และทั้งหมดนี้ก็เป็นความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดที่เราอยากแนะนำให้ได้รู้จัก เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการนำไปใช้งานได้ตอบโจทย์ประเภทงานทำความสะอาดมากที่สุด ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายนำไปใช้ได้ตามพื้นต่าง ๆ ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ซึ่งหากใครได้ลองใช้งานแล้วได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรอยากมาเล่าสู่กันฟังก็ทำได้เลย เรายินดีเป็นอย่างมาก
#225


เชื่อว่าการใช้งานน้ำยาขจัดคราบที่มีความสามารถเพิ่มเติมอย่าง ดับกลิ่นด้วย ฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ได้ด้วย คงกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งหากจะซื้อผลิตภัณฑ์มาใช้ก็มักจะได้รับคำแนะนำให้เลือกECOLAB RTU ทว่ามีเหตุผลใดที่ช่วยสนับสนุนบ้าง ไม่รอช้ามีมาแนะนำเช่นเคย

เหตุผลที่ควรใช้น้ำยาขจัดคราบยี่ห้อ ECOLAB RTU

ต้องบอกเลยว่า ECOLAB RTU เป็นอีกหนึ่งน้ำยาช่วยทำความสะอาด ช่วยขจัดคราบที่มาในรูปแบบสเปรย์ ทำให้การใช้งานง่ายมากขึ้น สามารถฉีดบ้างได้เลยพร้อมใช้ ปลอดภัย ไม่ต้องใช้น้ำล้างใด ๆ เพราะแค่เราฉีดแล้วเช็ดพื้นที่มีสิ่งสกปรก มีกลิ่นเกาะอยู่ ก็สามารถจัดการให้กลับมาสะอาดเหมือนใหม่แล้ว

นอกจากจะช่วยขจัดคราบสิ่งนี้ก็ยังถือเป็นสเปรย์ฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ในคราวเดียวด้วย ไม่ว่าจะนำไปใช้ร่วมกันลูกบิดประตู ภายในลิฟต์ โต๊ะรับประทานอาหาร หรือพื้นผิวสัมผัสที่มีอาหารวางก็ได้ ใช้กับที่พัก หรืออาคารสำนักงานได้หมด ฉีดเช็ดแล้วไม่ต้องเอาน้ำมาล้างตามแต่อย่างใดด้วย เพิ่มความสะดวกสบายได้ทุกที่ทุกเวลาไม่จำกัด

- เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฆ่าเชื้อได้ภายใน 15 วินาที ส่วนการฆ่าเชื้อโรคอื่น ๆ แค่ 1 นาทีก็จัดการเสร็จสิ้น
- เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขจัดคราบ ดับกลิ่น และฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ในคราวเดียวกัน
- เป็นหัวฉีดสเปรย์ดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ ขจัดคราบที่ใช้งานได้สะดวกสบาย นำไปฉีดที่ไหนได้หมดทุกที่ไม่ปิดกั้น
- ปลอดภัย คุณสามารถนำไปใช้ได้กับทุกพื้นผิวที่ต้องสัมผัสอาหาร ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำตาม เช็ดแล้วใช้วางอาหารได้เลย มีการรองรับจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดย EPA No. 1677-259

ข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

เผื่อว่าใครอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานก็ต้องบอกเลยว่าง่ายมาก เพียงคุณฉีดพ่นไปบนพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาด หรือที่ต้องการฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ 5 นาที พร้อมใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดออก โดยที่เว้นระยะห่างในการฉีดพ่น 30 ซม. แล้วฉีดพ่นค้างไว้ 10 วินาที

ทั้งนี้มีสิ่งที่ต้องระวังในการใช้งานอยู่ด้วยที่แน่ ๆ คือห้ามกินอยู่แล้ว และต้องเก็บให้พ้นมือเด็ก สัตว์เลี้ยง รวมถึงแสงแดด ระวังไม่ให้เข้าตา หากเข้าก็ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดจนหายระคายเคือง หรือทุเลาลง ที่สำคัญต้องเก็บให้ห่างจากบริเวณที่ความร้อนสูง หรือห่างจากเปลวไฟด้วย

น้ำยาขจัดคราบ ดับกลิ่น รวมถึงฆ่าเชื้ออเนกประสงค์ ECOLAB RTU แบบสเปรย์นี้คงเป็นทางเลือกในการจัดการสิ่งสกปรกให้ห่างไกลได้ดี โดยที่มีขนาด 500 มล. ในราคา 335 บาท ใครที่ทำอาหารบ่อย หรือมีสิ่งสกปรกมาเกาะติดเยอะ เป็นประจำ ต้องมีสักขวดไว้ใช้งานแล้วจริง ๆ ห้ามมองข้ามเด็ดขาด
#226


ใครที่กำลังมองหาน้ำยาประสานคอนกรีต – กันรั่วซึมอยู่ แต่ไม่รู้จะเลือกประเภทไหนไปใช้ดี ไม่รู้ว่าคุณสมบัติที่น่าสนใจอะไรบ้าง เพื่อการนำไปใช้อย่างเหมาะสมรีบตามเรามาทางนี้เลย เพราะเราได้รวบรวมมาแนะนำด้วยกันถึง 4 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคยกันดีหรือไม่ ไปติดตามได้เลย

แนะนำ 4 ผลิตภัณฑ์น้ำยาประสานคอนกรีต – กันรั่วซึม

1. น้ำยาช่วยประสานคอนกรีตตราช่างใหญ่ FLEX-77

มีส่วนช่วยในการประสานหรือยึดเกาะคอนกรีตระหว่างของเก่าและของใหม่ สร้างความแข็งแรง ทนทานต่อมลภาวะต่าง ๆ ได้อย่างดี ช่วยเพิ่มความต้านทานแรงดัด ป้องกันการแตกร้าวได้ดีมากด้วย เหมาะกับการใช้ในงานปูกระเบื้อง งานฉาบ หรือเททับคอนกรีตใหม่บนพื้นเดิม ปรับระดับพื้น ไม่ทำให้ปูนหลุดร่อน พร้อมกันซึมได้ดีไปอีก มีขนาด 5 กก. ราคา 1,039 บาท

2. น้ำยาผสมกันรั่วซึม ตราจระเข้ ADMIX PROOF

ต่อกันที่น้ำยากันซึมตราจระเข้ ADMIX PROOF ที่สามารถผสมกับพื้นปูนป้องกันการรั่วซึมได้ เพิ่มคุณสมบัติการซึมได้ดี ลดปริมาณน้ำที่ใช้ผสมพื้น ทำให้พื้นปูนคอนกรีตแน่นหนามากขึ้น ทำให้คอนกรีตมีกำลังมากขึ้น เหมาะกับงานโครงสร้างคอนกรีตที่สัมผัสน้ำโดยตรง อย่าง บ่อเก็บน้ำ ห้องน้ำ หรือสระว่ายน้ำ ไม่ทำให้คอนกรีตแตกร้าว หรือแห้งแล้วจะหดตัว หรือแข็งตัว มีขนาด 5 ลิตร ราคา 168 บาท

3. น้ำยาช่วยประสานคอนกรีต LANKO 751

ต่อมาเป็นผลิตภัณฑ์ของ LANKO 751 ที่ช่วยประสานคอนกรีต เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะของเก่าและของใหม่ได้ดี ลดการหดตัว รอยแตกร้าวที่พื้น ไม่ทำให้รั่วซึม และยังช่วยขัดสี นอกจากนี้ยังป้องกันชิ้นงานหลุดร่อน หรือผสมปูนเพื่อป้องกันการแตกร้าวได้ด้วย เหมาะกับการนำมาใช้งานอย่างที่สุด โดยมีขนาด 1 ลิตร ราคา 213 บาท

4. น้ำยาผสมคอนกรีตกันรั่วซึม BESBOND

ปิดท้ายกันที่ผลิตภัณฑ์น้ำยาผสมคอนกรีตกันรั่วซึม BESBOND ที่มีส่วนช่วยลดปริมาณน้ำที่ใช้ในการผสมคอนกรีตหรือซีเมนต์ได้ดี ทำให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ช่วยเพิ่มกำลังให้แข็งแรง ช่วยกันรั่วซึม ไม่ว่าจะเป็นคอนกรีต หรือปูนฉาบ ลดรูพรุนที่มาจากการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอได้ดี เหมาะกับงานที่สัมผัสน้ำโดยตรง เช่น บ่อเก็บน้ำ สระว่ายน้ำ หรือห้องน้ำ โดยมีขนาด 5 ลิตร ราคา 258 บาท

และทั้งหมดนี้ก็เป็นบรรดาผลิตภัณฑ์น้ำยาประสานคอนกรีต – กันรั่วซึมที่น่าสนใจ พร้อมให้คุณซื้อไปใช้งานตอบโจทย์มากที่สุด กระนั้นอยากแนะนำให้อ่านและปฏิบัติตามวิธีการใช้งาน ข้อแนะนำ และคำเตือนต่าง ๆ ที่ระบุไว้ข้างบรรจุภัณฑ์ให้ละเอียด เลือกใช้งานให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องระวังในเรื่องการจัดเก็บที่ให้พ้นมือเด็ก สัตว์เลี้ยง และอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ห้ามดัดแปลง แก้ไข และใช้สินค้าผิดประเภท หวังว่าการประสานคอนกรีต การกันรั่วซึมจะผ่านไปได้ด้วยดีมีประสิทธิภาพขั้นสุด
#227


ใครจะรู้ว่าโต๊ะทำงานนั้นส่วนใหญ่มีความสกปรกมากกว่าฝารองนั่งชักโครกมากถึง 400 เท่า และก็มีบางคนที่นั่งทานอาหารที่โต๊ะทำงานโดยไม่ทำความสะอาดหลังกินเสร็จด้วย ส่งผลให้เกิดสิ่งสกปรกมากมาย ยิ่งช่วงนี้โควิด–19 กำลังระบาดหนักยิ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงติดเชื้อได้ ดังนั้น การจัดโต๊ะให้เหมาะสมถูกหลักจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม

หลักการจัดโต๊ะทำงานให้ถูกสุขลักษณะที่สุด

จากผลวิจัยที่ผ่านมาพบว่าบนโต๊ะที่ใช้ทำงานของเรานั้นมีแบคทีเรียมากกว่า 10 ล้านตัว โดยที่ 7,500 ตัว ซุกซ่อนอยู่ที่คีย์บอร์ด ซึ่งแบคทีเรียที่มีเกิดมาจากมนุษย์เรานี้เอง ที่แม้จะทำความสะอาดแล้วแต่โอกาสที่แบคทีเรียจะกลับมาก็มีสูงภายในไม่กี่วัน โดยเฉพาะช่วงโควิด–19 ที่แพร่กระจายไวมาก ๆ การดูแลจัดโต๊ะให้ถูกสุขลักษณะจึงสำคัญที่สุด

1. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

หากเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์การวางจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับสายตา ระยะห่างจากจอควรอยู่ที่ 0.4 – 0.50 เมตร ส่วนคีย์บอร์ดและเมาส์นั้นจะอยู่ในระดับต่ำลงเล็กน้อย ขณะที่มีการพิมพ์งานก็ไม่ต้องยกไหล่ หรืองอหลังต่ำเกินไป

2. ควรมีแสงสว่างให้เพียงพอ

สิ่งต่อมาที่เราสามารถจัดการให้ถูกสุขลักษณะได้อีกก็คือการเพิ่มแสงสว่างให้เพียงพอ โดยให้เลือกโคมไฟที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ๆ ปรับทิศทางได้ รวมถึงใช้แสงอ่อน ๆ เป็นการถนอมสายตาของเราได้ดีมากขึ้น

3. เก้าอี้ที่มีควรเหมาะกับโต๊ะ

แม้จะเป็นโต๊ะธรรมดา หรือโต๊ะปรับระดับได้ก็ตาม ยังไงก็ต้องมีการใช้งานคู่กับเก้าอี้ สิ่งที่สำคัญคือการเลือกให้เหมาะสม โดยที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการนั่ง ปรับเก้าอี้ให้สูงเหมาะกับโต๊ะทำงาน อย่าให้ขาลอย หากขาลอยก็เอาอะไรมาหนุนเท้าไว้

4. ทำความสะอาดโต๊ะ

สุดท้ายก็คือการทำความสะอาดโต๊ะง่าย ๆ โดยเริ่มจากเอาทุกอย่างออกจากโต๊ะแล้วปัดฝุ่น ทำความสะอาดด้วยผ้าแห้ง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดมาเช็ดทุกซอกมุม ทิ้งให้โต๊ะแห้งแล้วจัดเก็บของใหม่โดยคัดแยกสิ่งต่าง ๆ ไปตามหมวดหมู่ พร้อมทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ด้วย ปากกาหรือดินสอก็ต้องทำความสะอาดเพราะมือเราต้องสัมผัสเป็นประจำ โดยทั้งหมดนี้ควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่โควิด–19 กำลังระบาด การทำความสะอาดโต๊ะทำงานอาจจะต้องทำให้ดีมากขึ้นเพื่อลดการแพร่กระจายโรค แนะนำว่าหากเป็นพื้นผิวโลหะให้ใช้เป็นแอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาด แนะนำว่าให้ทิ้งผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ 3 – 5 นาทีแล้วขึงเช็ดให้แห้งด้วยผ้าที่ซักสะอาดแล้ว เท่านี้การทำงานของคุณก็จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัยห่างไกลโรค
#228


เมื่อพูดถึงเก้าอี้สำนักงานแล้วอีกหนึ่งชิ้นส่วนอย่างลูกล้ออาจมีบางคนที่หลงลืมไปทั้งที่จริงค่อนข้างมีความสำคัญอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นส่วนที่ช่วยให้เราเคลื่อนที่ง่ายมากขึ้น กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือเรื่องของขนาดและความสามารถในการรับน้ำหนักของลูกล้อ และเพื่อให้การใช้งานเหมาะสม เลือกได้ตรงสเปคเราไม่รอช้ามีมาบอกต่อ

ขนาดและความสามารถในการรับน้ำหนักข้อลูกค้าเก้าอี้สำนักงาน

ต้องอธิบายก่อนเลยว่าแต่ละเก้าอี้ทำงานนั้นจะมีประเภทลูกล้อที่ใช้แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ผู้บริหาร เก้าอี้พนักงานทั่วไป เก้าอี้ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งเราควรรู้ว่าเก้าอี้ที่เราจะใช้งานเป็นลักษณะไหน และเมื่อพูดถึงขนาดและความสามารถในการรับน้ำหนักของลูกล้อแล้วนั้นจะมีปัจจัยที่สำคัญที่เราต้องรู้ คือ

- ประเภทของวัสดุที่ใช้ทำลูกล้อ ไม่ว่าจะเป็น ลูกล้อไนลอน ลูกล้อคู่ไฟเบอร์ หรือลูกล้อบอล
- ขนาดของลูกล้อที่ใช้งานว่ามีขนาดเท่าไหร่ เช่น 1 นิ้ว 1.5 นิ้ว 2 นิ้ว โดยที่แต่ละขนาดมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ต่างกันออกไป โดยลูกล้อขนาด 1.5 นิ้ว สามารถรับน้ำหนักได้ 30 กก. เว้นแต่ลูกล้อ 1.5 นิ้ว ที่มีลักษณะเป็นทรงเรียบหรือลูกล้อไฟเบอร์คู่เรียบ จะมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ 20 กก. ต่อล้อเท่านั้น ส่วนลูกล้อที่มีขนาด 2 นิ้วที่ถือว่าใหญ่สุดจะมีความสามารถในการรับน้ำหนักได้ 40 กก. ยกเว้นที่เป็นลูกล้อคู่ไฟเบอร์ หรือทรงเรียบที่จะสามารถรับน้ำหนักได้ 25 กก. ต่อล้อ

อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานเก้าอี้ที่สำนักงาน เก้าอี้พนักงาน หรือเก้าอี้คอมพิวเตอร์ใด ๆ แล้วจะต้องคำนึงถึงพื้นผิวสัมผัสด้วย ถามว่าลูกล้อแบบไหนควรใช้กับพื้นผิวลักษณะใด

- เก้าอี้ที่ต้องใช้กับกระเบื้อง = แนะนำให้ใช้ลูกล้อยูรีเทน ไม่ทำให้เกิดรอย ไม่มีเสียงรบกวน
- เก้าอี้ที่ต้องใช้กับพื้นไม้สำเร็จรูป = แนะนำลูกล้อยางธรรมชาติ ไม่ทำให้เกิดรอย ไม่มีเสียงรบกวน
- เก้าอี้ที่ต้องใช้กับงานที่ต้องอยู่ในแล็ป หรืองานช่าง = แนะนำลูกล้อที่ผลิตจากเหล็ก หรือเหล็กเคลือบยูรีเทน และไนลอน ทนทานต่อการกัดกร่อน และอุณหภูมิห้องที่อาจเย็นจัด
- เก้าอี้ที่ต้องใช้กับพื้นพรม = แนะนำลูกล้อยางธรรมชาติ ไม่ทำลายพื้นพรม ไม่เกิดคราบสกปรก

เมื่อมีความสนใจอยากซื้อเก้าอี้สำนักงานอย่ามองข้ามเรื่องของลูกล้ออย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะขนาดและความสามารถในการรับน้ำหนัก รวมถึงพื้นผิวที่ต้องใช้งาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้การเคลื่อนที่ไปมาของเรามีความคล่องตัวมากขึ้น เกิดความสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก ซึ่งหากใครที่จะซื้อใช้งานก็ลองนำไปปรับใช้ดูกันได้เลย
#229


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจอยากใช้งานเครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดปัญหามลภาวะในอากาศรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง PM 2.5, เชื้อโรค, เชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่อาจละเลยไปได้ก็คือเรื่องของพื้นที่วางตั้ง กระนั้นมีสิ่งที่เราต้องรู้ด้วยคือพื้นที่ต้องห้าม เพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์มีคุณภาพขั้นสุด แต่จะมีพื้นที่ไหนที่ห้ามวางบ้างเราไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

พื้นที่ต้องห้ามที่ใครจะวางเครื่องฟอกอากาศต้องรู้

1. ไม่ควรวางไว้ที่หัวเตียง

พื้นที่ต้องห้ามแรกที่เราไม่ควรวาง Air Purifier เลยก็คือที่หัวเตียง เพราะเมื่อปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาเราจะหายใจเข้าไปได้ทันที แต่อาจหลงลืมไปบ้างว่าก่อนที่จะปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาเครื่องนี้จะทำหน้าที่ดูดเอาอากาศสกปรกเข้าไปนั่นเอง ซึ่งอากาศนั้นต้องผ่านเรา ทำให้เราก็จะสูดดมเอาฝุ่นเข้าไปเต็ม ๆ

2. วางให้ห่างจากผนัง 10 ซม.

เป็นอีกตำแหน่งที่เราต้องรู้อย่างมากก็คือการที่วางแบบไม่ชิดผนังมากเกินไป ซึ่งไม่ควรทำเลยอย่างยิ่ง เพราะเครื่องจะดูดเอาอากาศจากทุกทิศมาได้ แล้วช่องว่างที่มีก็จะน้อยเกินไปด้วย ทำให้เกิดฝุ่นและคราบสะสมขึ้นที่ผนังได้ ถ้าจะวางจริง ๆ แนะนำให้วางห่างจากผนัง 10 ซม. ดีที่สุด

3. ไม่ควรวางไว้ที่ใต้เครื่องปรับอากาศ

เครื่องกรองอากาศนั้นไม่ควรเอามาวางไว้เลยที่ใต้เครื่องปรับอากาศเพราะเครื่องปรับอากาศจะดูดเอาอากาศบริเวณนั้นเข้าเครื่องอีกที ทำให้เราได้อากาศที่บริสุทธิ์ แต่จริง ๆ แล้วนั้นมีการดูดขึ้นที่สูงกว่านั้น หากเราเอาไปวางใต้เครื่องปรับอากาศเท่ากับว่าอากาศเหล่านั้นจะถูกดูดเข้าไปในเครื่อง ทำให้ไม่มีประโยชน์อะไร แนะนำว่าเอาวางไว้ตรงข้ามกับเครื่องปรับอากาศแทนดีที่สุด

4. อย่าลืมเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศตามกำหนด

แผ่นกรองอากาศถือเป็นสิ่งที่สำคัญแม้จะไม่ได้เป็นตำแหน่งการวางแต่เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงจึงควรใส่ใจด้วย เมื่อเราใช้งานไปสักระยะฝุ่นที่ดูดมาก็ติดที่แผ่นกรอง เราต้องตรวจสอบดี ๆ ว่าฝุ่นหนาแน่นอยู่มากน้อยแค่ไหน สามารถกรองอากาศได้อยู่อีกไหม ถ้าเห็นว่ามีฝุ่นหนาก็รีบเปลี่ยนไส้กรองอากาศทันที หรือไม่รู้จะเปลี่ยนตอนไหนก็เอาเป็นว่าทุก ๆ 6 เดือนเลยดีที่สุด

ใครที่รู้ตัวว่าเข้าข่ายการวางเครื่องฟอกอากาศที่ผิดตำแหน่งไป อย่ารอช้าที่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางใหม่เอาให้เหมาะสมที่สุด เพื่อช่วยให้เกิดผลลัพธ์ด้านสภาพอากาศที่ดีต่อร่างกายเรา ส่วนใครที่ยังไม่เคยมีและกำลังจะมีเชื่อว่าการวางที่ดีตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น
#230


การใช้งานถังเก็บน้ำในปัจจุบันนั้นต้องยอมรับว่ามีให้เราเลือกใช้งานหลากหลายผู้ผลิต แต่ก่อนที่จะเลือกซื้อได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่ควรรู้ เพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์ และปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย แต่จะมีเรื่องไหนที่ควรรู้บ้างนั้น ไปติดตามพร้อมกันกับเราเลยดีกว่า

4 เรื่องเกี่ยวกับถังเก็บน้ำที่ควรรู้ ใช้งานคุ้มค่า สุขภาพแข็งแรง

1. ประเภทของถังและการทำความสะอาด

โดยทั่วไปแล้วนั้นมีให้เลือกได้ 2 ประเภทด้วยกัน คือ ถังเก็บใต้ดิน ที่จะเหมาะกับใครที่พื้นที่ใช้สอยจำกัด อยากได้ความเป็นระเบียบ แต่ก็จะมีขั้นตอนการติดตั้งที่ยุ่งยาก และต้องดูแลรักษาสม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายสูง ส่วนถังเก็บบนดินที่ง่ายต่อการซ่อมแซม ต่อการทำความสะอาด ช่วยประหยัดงบประมาณได้ดีเลยทีเดียว

2. การทำความสะอาดถังที่ถูกวิธี

- ถังเก็บใต้ดิน : ปิดวาล์วท่อระบายเอาน้ำออก ปิดเบรกเกอร์ด้วย ทำความสะอาดภายในถังด้วยแปรง ฉีดน้ำเอาตะกอนออก เปิดวาล์วให้น้ำเข้าไปใหม่ทำซ้ำจนกว่าจะสะอาดมั่นใจ ใส่คลอรีนไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อลิตร ฆ่าเชื้อ แล้วเอาคลอรีนออกจากถังให้หมด เปิดวาล์วใส่น้ำในถังได้เลย
- ถังเก็บบนดิน : ให้ปิดวาล์วแล้วเปิดรูระบายปล่อยเอาน้ำที่ค้างออก แล้วทำความสะอาดด้วยแปรงขัดคราบ เอาให้สะอาด แล้วฉีดน้ำไล่ตะกอน พร้อมใส่คลอรีนความเข้มข้นไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อลิตร แล้วล้างเอาออกให้หมด ก่อนตากถังจนแห้ง

3. การคำนวณถังที่เหมาะสม

ก่อนที่จะเลือกแทงค์น้ำให้บ้านของเราได้นั้น สิ่งที่สำคัญคือขนาดของถังที่เหมาะสม เพียงพอต่อสมาชิกภายในบ้าน แนะนำว่าให้เริ่มต้นคำนวณถังที่เหมาะสมก่อนเสมอ โดยเฉลี่ยคน 1 คนจะใช้น้ำที่ 200 ลิตรต่อวัน โดยวิธีการคำนวณนั้นง่ายมาก ๆ สูตรคือ เอาจำนวนสมาชิกในบ้าน (คน) x 200 (ลิตร) = ขนาดของถังที่เหมาะสมกับการใช้งาน (ลิตร)

4. แนะนำตารางสมาชิก + ความจุของถัง

เผื่อว่าใครที่ไม่อยากคิดเยอะ จริง ๆ ก็สามารถเลือกซื้อถังพักน้ำได้ตามขนาดความจุเหล่านี้ได้เลย (เป็นการคาดคะเน) เพื่อให้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปนั้นจะแบ่งออกเป็น

- จำนวนสมาชิก 1 – 2 คน แนะนำเลือกขนาดถังเก็บขนาด 550 ลิตร
- จำนวนสมาชิก 3 – 4 คน แนะนำเลือกขนาดถังเก็บขนาด 700 ลิตร
- จำนวนสมาชิก 4 – 5 คน แนะนำเลือกขนาดถังเก็บขนาด 1,000 ลิตร
- จำนวนสมาชิก 6 – 8 คน แนะนำเลือกขนาดถังเก็บขนาด 1,500 ลิตร
- จำนวนสมาชิก 9 – 11 คน แนะนำเลือกขนาดถังเก็บขนาด 2,500 ลิตร

อย่าลืมที่จะเลือกซื้อถังเก็บน้ำที่มีมาตรฐานความปลอดภัยรองรับด้วยอย่าง มอก. เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในการเลือกซื้อใช้งาน หวังว่าการมีถังน้ำไว้ใช้งาน จะสามารถช่วยเก็บน้ำเพียงพอต่อสมาชิกทุกคนได้ใช้งานราบรื่น
#231


กลายเป็นเครื่องช้ำไฟฟ้าที่หลาย ๆ บ้านมีใช้งานกันเลยจริง ๆ กับ "เครื่องทำน้ำอุ่น" แต่ถึงอย่างนั้นจะรีบตัดสินใจเลือกก็คงไม่ได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และใช้งานได้เหมาะสมกับบ้านมากที่สุด การศึกษาถึงวิธีการเลือกซื้อเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามเด็ดขาด และเราก็มีมาแนะนำอย่างละเอียดอีกเช่นเคย

5 วิธีง่าย ๆ ในการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นใช้งานที่บ้าน

1. พิจารณากำลังไฟที่บ้านให้ดี

อย่างแรกที่เราต้องรู้ก่อนเลยก็คือเรื่องของกำลังไฟที่บ้าน โดยที่เครื่องช่วยทำน้ำอุ่นนั้นมีกำลังไฟที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ก่อนเลือกซื้อจึงจำเป็นต้องตรวจดูกำลังไฟให้ถี่ถ้วนสังเกตจากมิเตอร์ไฟก็ได้ เช่น บ้านที่มีมิเตอร์ไฟฟ้า 5(15) ก็ควรเลือกใช้เครื่องที่ทำน้ำอุ่นกำลังไฟไม่เกิน 3,500 วัตต์ แต่ถ้าบ้านไหนที่มิเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15(45) ควรเลือกใช้เครื่องที่มีกำลังไฟไม่เกิน 4,500 หรือ 6,500 วัตต์

2. ความต้องการใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำน้ำอุ่น ยี่ห้อไหนดีก่อนซื้อเราควรดูการใช้งานของตัวเองเสมอ อย่าง อาศัยที่ไหน เช่น คอนโด บ้าน หรือมีครอบครัวสมาชิกกี่คน มากน้อยแค่ไหน ต้องการใช้น้ำอุ่นอาบน้ำนานแค่ไหน หากใช้บางช่วงเวลา แนะนำเป็นแบบ single ที่ให้ความร้อน 1 ตัวต่อ 1 จุดดีกว่า แต่หากครอบครัวใหญ่ อาบหลายจุดในบ้าน ควรเลือกแบบ Multi Point ที่ให้ความร้อนได้หลายจุดพร้อมกัน ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น

3. ความปลอดภัยในการใช้งาน

เครื่องทำน้ำอุ่น ราคาถูกเกินไปก็ใช่ว่าจะมีการใช้งานที่ดี โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยอาจจะยากที่สุด ควรมองหาเครื่องที่สามารถตัดกระแสไฟฟ้าให้เองเลยอัตโนมัติเมื่อเกิดการใช้ไฟเกินขนาด หรือไฟฟ้ารั่ว หรือระบบตัดการทำงานเมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเกินไป หรือความปลอดภัยเล็ก ๆ น้อยที่ควรใส่ใจ เช่น สายไฟควรมีมาตรฐาน มีระบบป้องกันหม้อทำความร้อนไหม้ได้, ตัวเครื่องมาพร้อมยางที่ป้องกันน้ำเข้าทางช่องร้อยสายไฟ เป็นต้น

4. วัสดุที่ใช้กับหม้อต้ม

เป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อ เพราะหม้อต้มของเครื่องช่วยทำน้ำอุ่นมีหลากหลาย เช่น หม้อทองแดง หม้อต้มแบบพลาสติก หรือหม้อต้มที่มีขดลวดทองแดงให้ความร้อน ฯลฯ โดยที่แต่ละหม้อต้มก็จะมีผลลัพธ์การใช้งานที่ต่างกัน จุดเด่น จุดด้อย แน่นอนว่าต้องหาข้อมูลก่อนซื้อ

นอกจากนี้ อีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการเลือกซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นที่ควรซื้อยี่ห้อที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับการใช้งานที่ปลอดภัย กับร้านที่ได้มาตรฐาน มีบริการหลังการขายด้วยยิ่งดี หรือที่มีศูนย์ซ่อมติดต่อง่าย พนักงานสามารถให้คำตอบ หรือให้ข้อมูลเราได้อย่างเชี่ยวชาญ พร้อมดูแลเราอย่างใกล้ชิด พาให้อุ่นใจกว่าเคย
#232


เมื่อลูกน้อยของเราเข้าสู่ช่วงวัยที่ต้องหัดเดิน หัดคลาน แน่นอนว่าการเลือกใช้งานคอกกั้นเด็กเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ทว่าบางคนอาจยังไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือเมื่อจะหาข้อมูลแต่ละครั้ง รูปภาพก็เหมือนรั้วกันเด็กอีก ไม่รู้จะเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด วันนี้จึงมีข้อมูลมาให้ศึกษาทั้งเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้งาน และความต่างที่มีต่อรั้วกันเด็ก

ความจำเป็นในการเลือกใช้งานคอกกั้นเด็ก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลือกใช้งานคอกเด็กนั้นถือเป็นอีกความจำเป็นที่พ่อแม่ ผู้ปกครองโดยเฉพาะใครที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวต้องมีมาก ๆ ยิ่งหากต้องเลี้ยงลูกด้วยทำงานบ้านไปด้วย สิ่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยไปโดยปริยาย ทั้งนี้ ในปัจจุบันสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้นด้วย แต่ยังมีความจำเป็นในด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น

- ลูกได้ฝึกการเกาะยืน การคลาน เพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น
- ทำให้ลูกได้มีพัฒนาการทางร่างกายได้เร็วมากขึ้น โดยที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เป็นผลได้รับบาดเจ็บ
- คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองได้มีเวลาทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้อีกมากมายนอกจากการดูแลลูก
- ช่วยป้องกันการกระแทกได้ดี ลูกจะทำอะไรก็มีแต่ความปลอดภัย
- เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัวของลูก สามารถให้ลูกได้เล่นอย่างมีความสุข โดยที่ลูกก็ยังคงมองเห็นคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองราวกับว่าได้อยู่ด้วยกัน

แล้วเรื่องความต่างที่มีต่อรั้วกันเด็กเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นความสงสัยด้วยเช่นกัน เพราะหากลองได้ค้นหาคอกกั้นแล้วก็จะเจอรูปรั่วกันเด็กด้วย ซึ่งดูคล้ายกันมาก แต่จริง ๆ แล้วนั้นส่วนประกอบของคอกกั้นเด็กจะมีมากกว่า โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

- ส่วนประตู ที่หากเป็นการผลิตในไทยนั้นจริง ๆ มีหรือไม่มีก็ได้ เพราะเราสามารถอุ้มลูกเข้าคอกได้เลย หรือถ้าเราอยากจะเข้าไปด้วยก็แค่ก้าวข้ามไปได้ทันที
- รั้วกั้น ที่จะมีกำหนดล้อมรอบ เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายในขณะที่เด็กปีนป่าย เกาะยืน หรือคลานไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เป็นการกั้นให้เด็ก ๆ อยู่ในพื้นที่นั้นโดยเฉพาะ เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุด
- พื้นที่ตรงกลาง ที่เป็นพื้นที่ปูด้วยเบาะนุ่ม ๆ เพื่อให้เด็กสามารถนั่ง นอนเล่นได้ และยังช่วยให้ป้องกันการบาดเจ็บได้อย่างดีขณะที่ลูกอาจจะกัดคลาน หัดเดิน

ซึ่งหากเป็นรั้วกันเฉย ๆ ก็จะมีแค่กรงมากั้นล้อมรอบไว้ แต่จะไม่มีเบาะที่เป็นกำแพง หรือปูพื้น ทำให้เกิดความเสี่ยงเกิดอันตรายเมื่อลูกทำกิจกรรมในนั้นเป็นได้ เราก็หวังว่าทุก ๆ คนจะสามารถซื้อคอกกั้นเด็กที่ดีมีมาตรฐาน เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูกน้อย แม้จะต้องทำกิจกรรมอื่น แต่ก็ยังอุ่นใจได้
#233


หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจอยากซื้อ อยากใช้งานเครื่องตัดหญ้า อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจตามคนแนะนำหากยังไม่รู้ด้วยตัวเองว่าแท้จริงนั้นมีให้เราเลือกถึง 3 ประเภทใหญ่ ๆ เลยทีเดียว และวันนี้เราก็ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ศึกษา เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกได้เครื่องที่ตอบโจทย์มากที่สุด

แนะนำ 3 ประเภทเครื่องตัดหญ้า เพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์

1. เครื่องตัดที่ใช้แรงคน

เครื่องตัดประเภทนี้นั้นจะมีการใช้เฟืองในการขับเคลื่อนชุดมีด และใช้พลังงานในการขับเคลื่อนซึ่งก็คือแรงคนนี่เอง ซึ่งก็จะมีเสียงในการรบกวนเมื่อใช้งานด้วย โดยที่เหมาะกับพื้นที่ตัดหญ้าที่ไม่กว้างใหญ่มาก ค่อนข้างใช้เวลา และใช้แรงมากพอสมควร แต่ด้วยราคาที่ถูกที่สุดก็ทำให้มีหลายคนลังเลในการใช้งานไม่น้อย

2. เครื่องตัดแบบใช้น้ำมัน – เครื่องยนต์

เป็นเครื่องตัดที่มีให้เลือกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้เลย ก็คือเป็นเครื่องตัดแบบ 2 จังหวะ และเครื่องตัดหญ้า 4 จังหวะ ขึ้นอยู่กับความถนัดที่แต่ละคนมี สามารถผ่อนแรงคนไปได้ดี ไม่เหนื่อย สู้รบกับหญ้ายาว ๆ ได้ไม่มีปัญหา ส่วนเครื่องที่ใช้น้ำมันก็จะแบ่งได้ 2 ประเภทย่อย ๆ ไปอีก คือ

- เครื่องตัดแบบสะพายบ่า : เหมาะกับหญ้าที่ต้นสูง เช่น หญ้าคาตามถนน ไม่เหมาะกับการใช้ภายในบ้านเพราะต้องสะพายไว้ที่บ่า สะพายนานก็แอบเมื่อยได้ และต้องให้คนที่ชำนาญมาก ๆ มาใช้งานด้วย ไม่อย่างนั้นเสี่ยงเศษกรวดเศษหญ้ากระเด็นใส่
- เครื่องตัดแบบนั่งขับ หรือรถเข็น : มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กให้ใช้งาน ซึ่งจะใช้เป็นน้ำมันเบนซิน และส่วนใหญ่เป็นแบบ 4 จังหวะ ทั้งยังมีผู้ผลิตหลายเจ้าที่พัฒนาให้มีถังเก็บหญ้าให้ด้วย

3. เครื่องตัดแบบใช้ไฟฟ้า

ปิดท้ายอีกประเภทก็คือเครื่องตัดหญ้าไฟฟ้าซึ่งค่อนข้างแพร่หลายมากที่สุด เพราะสามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าจากที่บ้านได้เลย โดยทั่วไปมีให้เลือกอีก 2 ประเภทย่อย ๆ คือ

- เครื่องแบบลอยตัว : ที่จะไม่มีล้อ ใช้งานมอเตอร์สูง โดยจะหมุนปั่นลมที่ติดใบมีดให้เครื่องถูกแรงลมยกลอยขึ้น ทำให้รู้สึกเบาเวลาตัดหญ้า เข้าซอกเล็กซอกน้อยได้ มีทั้งแบบมีกล่องและไม่มีกล่องเก็บหญ้าสามารถเอียงเครื่องตัดตามความโค้งของเนินได้
- เครื่องแบบมีลูกล้อ : ที่สามารถปรับระดับความสูงต่ำของใบมีดได้ มีคันโยกเปลี่ยนระดับล้อได้ตามต้องการ แต่มอเตอร์จะมีรอบความเร็วที่ไม่มาก เพราะแรงจะเอาไปใช้เพื่อหมุนใบมีดตัดหญ้าอย่างเดียว

เครื่องตัดหญ้าทั้ง 3 ประเภทนี้มีความแตกต่างกันอยู่ เราสามารถเลือกใช้งานได้เลยตามต้องการไม่มีผิดถูก เอาที่คิดว่าตอบโจทย์มากที่สุดทั้งการใช้งาน ทุนทรัพย์ และสถานที่ตัดหญ้า หวังว่าจะได้ตัดหญ้ากันอย่างราบรื่นนะทุกคน..
#234


รางน้ำฝนที่เห็นโดยทั่วไปนั้นมีให้เลือกหลากหลายชนิดมาก แต่ที่ดูจะเป็นความสนใจคงหนีไม่พ้น 2 ตัวเต็งอย่างชนิดไวนิล หรือ PVC และแบบสเตนเลส ทำให้บางคนที่เพิ่งคิดจะคิดตั้งเกิดความสงสัยว่าทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้การเลือกใช้งานตอบโจทย์มากที่สุด เรามี 5 ความแตกต่างมาเล่าสู่กันฟังอย่างละเอียด

5 ความแตกต่างของรางน้ำฝนไวนิล VS สเตนเลส

1. คุณภาพของรางน้ำ

เริ่มต้นกันที่เรื่องของคุณภาพ หรือคุณสมบัติของรางน้ำก่อนเลย โดยทั่วไปแล้วคุณภาพรางสเตนเลสนั้นจะมีความทนทานมากกว่าไวนิล หรือ PVC แต่ปัจจุบันมีหลายร้านที่ลดสเปคของสเตนเลสเกรดที่ต่ำกว่ามาใช้งาน และยากต่อการมองเห็นเอง มีความบาง ไม่ค่อยทน ราคาถูกจริง แต่ก็แลกมากับอายุการใช้งานที่สั้นได้ ต่างจากรางไวนิลที่วัสดุเป็นแบบสังเคราะห์ ได้โรงงานผลิตที่มีมาตรฐาน หมดกังวลเรื่องมาตรฐานวัสดุไปได้เลย

2. เรื่องงานดีไซน์โดดเด่นกว่า

ในการใช้งานรางไวนิลนั้นจะมีความเรียบแข็ง ดีไซน์สวยงามมากกว่า และทำเป็นสีที่พร้อมใช้งานมาจากโรงงานผลิตเลย มีหลากหลายรูปทรง ทำให้สามารถเลือกใช้งานตอบโจทย์มากกว่า ยิ่งบ้านที่ออกแบบแนวโมเดิร์นก็จะเลือกติดตั้งรางชนิดนี้ได้ง่ายมากกว่า ส่วนรางสเตนเลสนั้นจะเป็นลักษณะผิวมัน โลหะวาว ไม่แนะนำให้ทาสีเพื่อจะลดความสามารถในการทนทาน จึงดูโดดเด่นและจับคู่กับสีหลังคาได้ยากกว่า

3. ติดตั้งรางไวนิลเสียงไม่ดัง

เมื่อเลือกติดตั้งรางไวนิล หรือรางน้ำฝน pvc แล้วนั้นด้วยความที่เป็นพลาสติกเมื่อฝนตกกระทบก็จะไม่ทำให้เกิดเสียงดัง แน่นอนว่ามีความแตกต่างจากรางสเตนเลสมาก ๆ เพราะด้วยความที่เป็นสเตนเลสเมื่อโดนน้ำก็จะเกิดเสียง หรือแม้แต่ช่วงบ่ายเองก็มีเสียงที่สเตนเลสขยายตัวค่อนข้างดังเป็นระยะ ทำให้อาจเกิดความรำคาญได้

4. ติดตั้งได้ง่าย ซ่อมแซมสะดวก

สุดท้ายก็คือในการติดตั้งรางไวนิลจะทำได้ง่ายมากกว่า เพราะเป็นรางน้ำฝนสำเร็จรูปที่ขนาดเป็นมาตรฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะเป็นชิ้นส่วนราง หรือมีที่แขวนราง มีการนำชิ้นส่วนไปประกอบแล้วใช้ซิลิโคนเชื่อมต่อ ทำให้มีรอยเชื่อมน้อยมาก จึงง่ายต่อการซ่อมแซมไปในตัว แต่หากเป็นรางน้ำฝนสเตนเลสแล้วจะมีการเชื่อมประสานงานแต่ละส่วนก่อน หากไม่ได้ช่างเชื่อมที่มีทักษะก็มีโอกาสที่รอยเชื่อมจะสร้างปัญหารั่ว แตกร้าวได้

เมื่อรู้ถึงความแตกต่างของรางน้ำฝนทั้ง 2 ชนิดนี้ หวังว่าทุก ๆ คนที่อยากติดตั้งรางเพื่อการใช้งานที่ราบรื่น จะสามารถเลือกชนิดที่ตอบโจทย์ให้ตัวเองได้แล้ว กระนั้นอย่าลืมเลือกร้านขายที่ดีมีมาตรฐานด้วย เพื่องานที่สมบูรณ์แบบ ไม่เกิดปัญหารั่ว ร้าวตามมาภายหลังได้
#235


หากจะเอ่ยถึงนวัตกรรมการซักผ้าที่ง่ายมาก ๆ "น้ำยาซักผ้า" เรียกได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้การซักผ้าไม่ต้องเลอะมืออีกต่อไป เพราะแค่เราเทจากขวดก็ใช้งานได้แล้ว ไม่ต้องตักให้เลอะ แต่กระนั้นหากใครจะใช้งานก็ต้องใช้ให้ถูกหลักด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อผิวของเรา ซึ่งจะต้องใช้อย่างไรนั้นบางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เราไม่รอช้าขอพาไปศึกษาเลย

น้ำยาซักผ้ากับการใช้งานให้ถูกหลัก เพื่อผิวสุขภาพดี

1. ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาน้อยกับเครื่องซักคุณภาพสูง

มีหลาย ๆ คนที่เลือกใช้เครื่องซักผ้าที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพสูง แต่กลับมาใช้น้ำยาซักที่ปริมาณน้อยเกินไป ซึ่งคงไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะหากเราใส่น้ำยาซักที่น้อยเกินไปแต่เสื้อผ้าเยอะ ถังใหญ่ โอกาสที่จะทำความสะอาดก็ไม่ทั่วถึงได้ และต้องซักผ้าใหม่ไปอีก

2. ตรวจสอบปริมาณที่แนะนำข้างขวดบรรจุภัณฑ์

เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนอาจมองข้ามแต่หากจะใช้น้ำยาซักแทนผงซักฟอกเราจำเป็นต้องศึกษาปริมาณข้างขวดบรรจุภัณฑ์ให้ถี่ถ้วน เพราะปกติแล้วจะมีจำนวนที่เหมาะสมบอกอยู่ว่าผ้ากี่ชิ้นเหมาะกับน้ำยาปริมาณเท่าไหร่ ความสกปรก รวมถึงปริมาณน้ำที่ควรใส่ เพื่อให้การใช้น้ำยาซักมีประสิทธิภาพทำความสะอาดเสื้อผ้าดีที่สุด

3. ตรวจสอบดูว่าน้ำยาซักสามารถจัดการคราบได้จริงไหม

เราจำเป็นต้องตรวจสอบดูด้วยว่าน้ำยาซักที่เราจะใช้งานนั้นมีประสิทธิภาพในการขจัดคราบได้มากน้อย เพราะหากเราเลือกใช้น้ำยาที่มีสารช่วยขจัดคราบเป็นส่วนผสมอยู่ก็จะช่วยให้ความสามารถในการขจัดคราบเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องซักหลายรอบให้เสียเวลา เสียค่าน้ำ

4. อย่าเลือกที่มีราคาถูกเกินไป

เราจำเป็นต้องเลือกใช้งานน้ำยาซักที่ถือเป็นแฟ้บซักผ้าที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยราคาที่เหมาะสม เป็นราคาตามท้องตลาดกลาง อย่าเห็นกับราคาที่ถูกเกินไป เพราะประสิทธิภาพการทำความสะอาดอาจไม่ได้ดีที่สุด อาจจะขาดส่วนผสมที่สำคัญในการช่วยทำความสะอาดก็เป็นได้ กลายเป็นว่าต้องซักหลายรอบ และจะเหมือนข้อ 3 คือเสียเวลา เสียค่าน้ำ

5. อย่าหวังพึ่งน้ำยาซักอย่างเดียว

ในการใช้งานน้ำยาซักก็เป็นส่วนหนึ่งแต่ก็อย่ามาหวังพึ่งสิ่งเดียวในการขจัดคราบ คุณควรเลือกศึกษาวิธีขจัดคราบรูปแบบอื่นช่วยด้วย เพื่อให้การทำความสะอาดผ้าเป็นไปได้ด้วยดี ไร้สิ่งสกปรกกวนใจ หรือต้องซักหลายรอบ

ปัจจุบันมีการผลิตน้ำยาซักผ้าหลากหลายแบรนด์เลยทีเดียว แนะนำว่าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อควรศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน อาจจะดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริงก่อนประกอบการตัดสินใจก็ได้ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด นอกจากช่วยให้เสื้อผ้าสะอาดแล้ว ผิวกายของเราก็ไม่มีปัญหาภายหลังด้วย
#236


อุปสรรคเมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝนอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ก็คือการซักผ้า ที่บางคนต้องย้ายไปย้ายมาเพื่อให้ถูกแดด และไม่ให้ถูกฝนในวันเดียวกัน ยิ่งใครที่อยู่คอนโด หรืออพาร์ตเม้นท์ยิ่งกลุ้มเพราะผ้าแห้งไม่ทันมีถมเถ จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าจะเลือกเครื่องอบผ้าแต่ก็ดันมีที่เป็นเฉพาะเครื่องอบ และเครื่องซักที่มีให้อบผ้าด้วย กลายเป็นลังเลไม่รู้จะซื้อแบบไหนดีกว่า เราจึงไม่รอช้ารวบรวมข้อมูลมาแนะนำ

เครื่องอบผ้า VS เครื่องซักผ้าอบผ้า แตกต่างกันอย่างไร?

จริง ๆ แล้วนั้นเครื่องซักผ้าจะมีระบบปั่นหมาดอยู่ในตัว แต่ก็จำเป็นต้องเอาไปตากแห้งอยู่ดี และในช่วงหน้าฝนแบบนี้แทบจะตกกันทุกวันเลยเชียว เครื่องช่วยอบผ้าจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผ้าของเราแห้งไว แห้งง่ายมากขึ้น และยังช่วยประหยัดเวลาในการตากผ้าไปอีก กระนั้นก็มีเป็นเครื่องซักผ้าอบผ้าให้เราใช้งานด้วย โดยที่เราสามารถใช้งานซักและงานอบในเครื่องเดียวได้เลย ไม่ต้องแยกกันทำให้สะดวกรวดเร็วได้มากขึ้น

1. เครื่องช่วยอบผ้า

สำหรับเครื่องช่วยอบผ้านี้นั้นจะมีระบบการทำงานที่แยกจากกันอย่างชัดเจน โดยที่ใช้มอเตอร์คนละตัว ทำให้การทำงานของเครื่องไม่มากนัก และอายุการใช้งานก็ยาวนานกว่ามากด้วย ในระหว่างที่กำลังอบผ้านั้นก็ยังสามารถซักผ้าไปด้วยได้ และสามารถซักได้ในปริมาณที่เยอะ

เหมาะกับคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน หรือมีพื้นที่วางตั้งเยอะ เพราะตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และครอบครัวที่มีสมาชิกเยอะ ต้องซักผ้าเยอะ แต่กระนั้นก็อาจมีเสียเวลาบ้างที่ต้องรอให้ผ้าซักเสร็จแล้วเอามาใส่ที่เครื่องอบต่อ

2. เครื่องซักผ้าอบผ้า

จะมีส่วนช่วยประหยัดพื้นที่ได้มากกว่า สามารถใช้งานได้ 2 ฟังก์ชันในเครื่องเดียวจบโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนผ้าลงอีกเครื่อง ประหยัดเวลาได้ดีไม่ว่าจะซักผ้าหรืออบผ้า และเรื่องราคาหากเป็นเครื่องอบผ้า ราคาสูงกว่าเพราะต้องมีการแยกเครื่องชัดเจน แต่หากเป็นเครื่องซักอบผ้าก็จะถูก เพราะใช้งานเครื่องต่อได้เลย

อย่างไรก็ตามเหมาะกับคนที่อาศัยอยู่คอนโด หรือบ้านที่พื้นที่เล็ก จำกัดเนื่องจากเป็นแบบ 2 in 1 ก็จะต้องให้รอบปริมาณการซัก + อบที่เหมาะสม ใส่ผ้าเยอะทำให้เครื่องทำงานหนักเกินไปได้ และต้องรอซักเสร็จก่อนจึงจะอบผ้าต่อได้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความน่าสนใจของทั้งเครื่องอบผ้า และเครื่องซักผ้าอบผ้าที่มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน จริง ๆ เราสามารถเลือกใช้เครื่องที่คิดว่าเหมาะสมกับเราที่สุดได้เลย ไม่มีผิดถูก เพราะแต่ละคนย่อมมีความต้องการซักผ้าที่ต่างกันอยู่แล้ว บวกกับปัจจัยโดยรอบ เช่น พื้นที่ หรือสมาชิกที่อยู่ด้วยมากน้อย ลองเลือกกันเลย